เมื่อ “ความสุข” ไม่ได้ผูกติดกับ “อวัยวะ”

/
0 Comments





วันนี้ลุกขึ้นมาแต่เช้าตรู่ (สำหรับเรา) ภาพหนึ่งแทรกขึ้นมาในหัว – คนตาบอด แขนขาด ขาขาด หรือคนที่อวัยวะไม่ครบ 32 ไม่รู้เพราะอะไรดลใจให้สมองสั่งงานดึงเอาภาพจำเหล่านั้นขึ้นมา

ภาพตัดไปที่คนตาบอดเมื่อครั้งหนึ่งที่เคยเข้าไปสัมผัสชีวิตเล็กๆ ของพวกเรา – ไม่มีอะไรมาก แค่ไปนั่งรอคุณอาที่บ้านนั่งนวดในร้านนวดที่มีเหล่ามืออาชีพนวดแผนโบราณเป็นคนตาบอดทั้งหมด
คุณอาติดใจเพราะที่นี่นวดดี ไม่หยิ่ง คุยง่าย – อาจจะเพราะพวกเขารู้ตัวว่าตาบอด เลยคิดว่าตัวเองด้อยค่ากว่าคนอื่น อันนี้เราก็คิดไปเอง เพราะเคยไปนั่งนวดในห้าง หน้าตาคนนวดบูดบึ้งมาก นวดไปเครียดไป...ผ่อนคลายตรงไหนวะ


ร้านเล็กๆ ที่มีคนตาบอกทำอาชีพเป็นหมอนวดแผนโบราณ ร้านไม่ใหญ่แต่เป็นที่ติดใจของใครหลายคน บางคนมาเพื่อช่วยให้พวกเขามีรายได้ยังชีพต่อไป ไม่เน้นความสบายเท่าไหร่ แต่อาติดใจสั่งนวดระดับไหนก็ได้ระดับนั้น มันเลยมีทั้งคนที่ติดใจในฝีมือแล้วก็ติดใจความเป็นมือฉมังที่คนธรรมดาอย่างเรายังต้องอาย ถ้าสวมแว่นดำเนียนๆ หน่อย แทบไม่รู้เลยว่าตาบอด

สภาพภายในร้านอบอวลไปด้วยบรรยากาศของ “ความสุข” ไม่เห็นคนตาบอดคนไหนที่ไม่ยิ้ม เสียงพูดคุยเป็นจังหวะสอดแทรกไปกับเสียงหัวเราชอบใจ ในร้านมี 1 คนเป็นเจ้าของที่คอยเก็บเงิน - ซึ่งแน่นอนเขาตาไม่บอด
ตรงประตูทางเข้าเวลาเปิดเข้าไป จะมีดิ่งผูกติดเอาไว้ เป็นเชิงให้รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ประตูถูกเปิดเข้าไป เสียงกระดิ่งกระทบกัน เป็นอันรู้ว่ามีแขกมาเยือนแล้ว เสียงต้อนรับก็ดังเซ่งแซ่ขึ้นมา เป็นสัญญาณเอาไว้ให้เหล่าพนักงานได้รู้ว่าใครเข้ามาบ้าง

ตัดกลับมาในมโนภาพอีกครั้ง ลุกขึ้นจากเตียงยืนมองตัวเองที่กระจก – ร่างกายครบ 32 เลย แต่ความสุขบางวันก็หล่นหาย บางวันก็มีมาบ้างตามประสาชีวิตที่ต้องดิ้นรน และคิดว่าทุกวันนี้ยังอยากได้อยากมีให้มากขึ้น ไต่ระดับความสุขขึ้นไปให้เหนือชั้นยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ พอถึงจุดๆ หนึ่ง เหมือนที่ใครหลายคนบอก 

ตอนเด็กๆ ขอให้ตัวเองมีเงินแค่ 100 บาทก็มีความสุขแล้ว พอโตขึ้นมาหน่อย เงิน 100 บาทที่มีในกระเป๋าตั้งหลายใบกลับรู้สึกว่าชีวิตสั่นคลอนไม่มั่นคง ไม่เห็นมีความสุขเหมือนตอนที่วาดฝันเอาไว้ในตอนเด็กเลย ยิ่งโตเลขศูนย์ตามหลังก็เพิ่มมากขึ้น เป็นจำนวนฝันที่จากหลักร้อยเป็นหลักพัน...หมื่น...แสน...ล้าน ฯลฯ ไม่เคยพอ ก็เลยมารู้ว่าถ้าเราไม่รู้จักคำว่าพอ ยังไงมันก็ต้องอยากได้อยากมีต่อไปเรื่อยๆ เป็นอนันต์ ความสุขก็วิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ คว้าจับไว้ได้เพียงชั่วคราว 

มานั่งมองตัวเองทุกวันนี้ ร่างกายที่สมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่เงินเก็บมันไม่มากพอดังที่ฝัน กลายเป็นความทุกข์ที่มากกว่าสุขในทุกวัน เพราะไม่รู้จักการมองหาความสุขที่มีอยู่รอบๆ ตัว มัวไปมองหาแต่ความสุขที่ฉาบฉวย
ตัดกลับไปที่คนตาบอด – เรื่องยังไม่จบ เพราะตอนที่นั่งรอคุณอาที่กำลังถูกนวดคลึงอยากสบายอารมณ์ เห็นหมอนวดค่อยๆ คลำหาทิศทางอย่างมืออาชีพ รอยยิ้มยังคงเต็มทั่วไปใบหน้า ทุกคนดูมี “ความสุข” กับอาชีพที่มีอยู่ ส่วนเราเรอะ แน่นอนว่าทำงาน เหนื่อยน้อยว่า เงินมากกว่า แต่ความสุขอยู่ไหนวะ ?
นั่งรอไปสักพัก จุดพีคมันอยู่ตรงนี้ จนทำให้รู้สึกอึ้ง – พวกเรากำลังคุยกันเรื่อง “ไปเที่ยว” !!
“ไปพัทยาไหม อากาศดีนะเว้ย นั่งกินปูปลา เอาบรรยากาศกันสักหน่อย ไม่ได้ไปนานล่ะ นี่อยาก “เห็น” ทะเลใจจะขาดแล้วอ่ะ”

“เออ หรือจะไปน้ำตก เล่นน้ำดีกว่ามั้ง ทะเลมันเหนียวนะ ต้นไม้สีเขียวเยอะดี ไม่ค่อยชอบที่โล่งๆ มีแต่ชายหาด”

“ไปแล้วใครจะนำทางแก ให้พี่นิแกนำไหม ฮ่าๆ”

“แหม...ให้พี่นิแกเอาตัวเองให้รอดก่อน รอบที่แล้วกว่าจะเดินถึงเปล เอาซะเหนื่อย”

แล้วทุกคนก็ขำ เรานั่งมองเงียบๆ...เห้ยไรวะ!! พวกเขาใช้คำว่า “เห็น” ในบทสนทนา เห็นได้ไง เห็นยังไง ???
ขณะที่ในหัวกำลังงุนงงและวิเคราะห์เหตุการณ์ตรงหน้า ทุกคนก็กำลังสนุกกับการหาแหล่งท่องเที่ยวในวันหยุดที่จะมาถึง ไม่มีใครรู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังพิการ ตาบอดแล้วไง...ก็จะไปดูอ่ะ เออประมาณนั้นเลย

ส่วนคนตาดีครบ 32 แบบเราคือไรวะ...มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ ดูคนเหล่านี้สิ ปลดปล่อยความสุขของตัวเองออกมาอยู่ตลอดเวลา บรรยากาศโคตรจะเต็มไปด้วยสีสันแห่งความสุขที่เข้มข้นสุดๆ
หลังจากวันนั้น...กลับมาวันนี้ คนพวกนั้นคงได้ไปเที่ยวกันหนำใจแล้ว มันก็มีบางคนที่ตาบอดแต่ไม่สนิท เป็นคนนำทาง อธิบายลักษณะท้องฟ้า ท้องทะเล หรือธรรมชาติในที่นั้นๆ ให้คนที่ตาบอดสนิทได้ฟังแล้ว “จินตนาการ” ตาม แค่นี้เอง...พวกเขามีความสุขกันมากแล้ว 

ตาบอด แขนขาด ขาด้วน หรือจะเหลือครึ่งตัว “ความสุข” กลับไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่มันอยู่ที่มุมมองความคิดของเราว่าจะเก็บสุขหรือเก็บทุกข์เอาไว้มากกว่า อวัยวะที่ขาดไปก็แค่ส่วนหนึ่งของร่างกายที่หายไป ส่วนจิตใจเป็นนามธรรม ไม่มีวันขาดหายไปไหนได้ ดังนั้นเราสามารถสร้างความสุขให้ตัวเอง แค่รู้จักการมองโลกในมุมใหม่ มุมที่เราพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น 

ในยุคที่นิยามของความสุขถูกสังคมบีบรัดเช่นนี้ ค่านิยมของมันถูกแปรเปลี่ยนความหมายไป สังเกตกันง่ายๆ ตั้งแต่หนังสือแนวถ้าอยากรวยมึงลาออกนะ จะได้สบาย มาทำอาชีพที่เป็นนายตัวเองดีกว่า หรือหนังสือแนวชวนเล่นหุ้น หนังสือ How to หนังสือแนะนำการเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยตัวเอง หรือหนังสือแบบรวยเร็วทั้งหลาย กลายเป็นสิ่งที่สังคมเรียกมันว่า “ความสุข” และใครทำได้ก็จะได้รับการยกย่องราวกับพระเจ้า เป็นความสำเร็จของคนยุคใหม่ที่ใฝ่ฝันไม่อยากจะเป็นลูกจ้างใคร จนไอ่คนที่ทำหน้าที่เป็นลูกจ้างคนอื่นรู้สึกต่ำต้อยขึ้นมาทันที 

ทำไมเราหา “ความสุข” กันยากนัก ทั้งที่มีร่างกายครบ 32 เหนือชั้นกว่าคนพิการตั้งหลายเท่าตัว แต่เมื่อเทียบกับบางคนที่แขนขาด ขาด้วน ตาบอดจนมองไม่เห็นอนาคต พวกเขากลับตื่นมามีความสุขได้ในทุกวัน...
อาจจะเป็นเพราะว่าเราให้ความหมายของ “ความสุข” ต่างกัน เรา- ที่มีร่างกายสมบูรณ์ เอาความสุขไปผูกติดกับค่านิยมของสังคม ส่วนคนพิการเอา “ความสุข” ไปผูกอยู่ที่จิตใจ หาใช่อวัยวะที่ขาดหายไปไม่ พวกเขาเลือกมองในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่

คนตาบอดเหล่านั้นมีมุมมองชีวิตที่เป็นบวกมากกว่าเราหลายเท่า เขาอาจจะกำลังขอบคุณโชคชะตาที่มีปัญหาแค่ดวงตาที่หายไป พอใจกับอวัยวะที่เหลืออยู่ ให้สามารถดิ้นรนต่อสู้ไปได้แบบไม่คาดหวังกับสิ่งใด มีแค่ลมหายใจของวันนี้ และทำชีวิตให้มีความสุขอยู่ในทุกเสี้ยววินาที

แค่ “ขอบคุณ” ที่วันนี้ยังมีชีวิต – แค่ได้ตื่นมาทำงานและอยู่กับคนที่รัก – แค่ได้กินข้าวอิ่มทุกมื้อ – แค่มีที่นอนให้ได้พักกายใจในยามเหนื่อย – แค่มีเวลามากพอที่จะได้กอบโกยความสุขจากสิ่งที่มี  ไม่ใช่ตัวเงินที่กองอยู่ในบัญชี แผ่นกระดาษเหล่านี้ไม่มีค่า แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ความหมาย ใช้เงินให้เป็นมันก็มีประโยชน์ได้ แต่อย่าให้มันเป็นตัวตัดสินความสุขของเรา

เมื่อความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับอวัยวะ แต่มันขึ้นอยู่กับจิตใจ ร่างกายหาใช่ตัวกำหนดความสุขของเราไม่ พอใจกับสิ่งที่มี ทำทุกวันนี้ให้ดีที่สุด – ความสุขอยู่ใกล้มากจนอาจถูกมองข้ามไป อย่าให้เงินและสิ่งที่ขาดมาเป็นตัวตัดสินโชคชะตาชีวิต จงลิขิตมันขึ้นเอง

ส่วนเราที่ยังมีทั้งลมหายใจและอวัยวะครบทุกส่วน...เริ่มกันรึยังคะ ?

“เริ่มต้นมีความสุขกันหรือยัง?^__^




Related Posts

No comments:

99Pencilinhand. Powered by Blogger.